สอนยิงแอด Google

เรียนรู้วิธีการใช้ Google Ads อย่างถูกวิธีด้วยเจ้าหน้าที่ Google Partner ของเรา การสอนของเราเน้นตั้งแต่การปูพื้นฐานเรื่องของการทำการตลาด เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตัวเองได้ และสามารถวางแผนกลยุทธ์การทำโฆษณาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับงบประมาณที่ใช้จ่าย

TopRocketing

วัตถุประสงค์ของคอร์สนี้

เพื่อให้เข้าใจว่า Google Ads นั้นมีวิธีการทำงานอย่างไร มีความเข้าใจเรื่องการประมูลและการเสนอราคาแต่ละประเภท

สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาได้ด้วยตนเอง และเข้าใจการเลือกใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแต่ละประเภท

สามารถประเมินข้อมูลที่เก็บได้ เพื่อทำการประเมินผล การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและการกำหนดราคาในการทำโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมควรเรียน Google Ads กับเรา

ของเราเป็นการสอนตั้งแต่พื้นฐาน ปูแนวคิดวิธีการทำ Google Ads อย่างถูกต้อง

เมื่อเราเรียนจบสิ่งหนึ่งที่เราจะเข้าใจเลยว่าทำไมหลายคนถึงทำ Google Ads ไม่ประสบความสำเร็จหรือล้มเลิกไปก่อน เพราะเขาไม่มีความเข้าใจในเครื่องมือนั่นเอง เพราะฉะนั้นในคอร์สนี้หลังจากเรียนจบเรามั่นใจว่าผู้เรียนต้องสามารถทำ Google Ads ด้วยตนเองได้อย่างแน่นอน

ทำไมถึงควรทำ Google Ads กับเรา

Google Vs Facebook

เป็นคำถามที่เราได้ยินบ่อยมากๆว่า Google Ads นั้นต่างจาก Facebook อย่างไร ถ้าเอาสิ่งที่เห็นได้อย่างเด่นชัดเลยก็คือ Google Ads เราจะจ่ายเงินก็ต่อเมื่อคนให้ความสนใจในสินค้าหรือบริการของเราจริงๆ ถ้าเขาไม่สนใจไม่คลิกเข้ามาเว็บไซต์เราเราก็จะไม่เสียเงินให้กับ Google แต่ทาง Facebook จะเก็บเงินเราจากการแสดงผล ก็คือเมื่อแค่มีคนเห็นโฆษณาเราปุ๊ปเราก็เสียเงินโดยทันทีนั่นเอง

ขั้นตอนการเริ่มทำงานของเรา

ขั้นตอนที่ 1 การเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ตลาด

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Google นั้น เป็น Platform ที่ให้บริการด้านข้อมูลเป็นหลัก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ Google ให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือเรื่องของ Data ในเดือนแรกที่เราต้องการทำการตลาด เราอาจต้องศึกษาตลาดก่อนว่า คำที่เราต้องการซื้อที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรานั้น มีการค้นหาจริงๆว่าอย่างไรบ้าง คนกลุ่มไหนบ้างที่จะมีโอกาสเป็นลูกค้าของเรา คนกลุ่มไหนบ้างที่ไม่ใช่กลุ่มลูกค้าของเรา

หลายคนมากที่เริ่มทำการตลาดใน Google อาจถอดใจ เพราะบางทีก็อาจได้ลูกค้าน้อย สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า Google ยังไม่รู้ว่า ใครที่เป็นลูกค้าของเรา เพราะฉะนั้นการเก็บข้อมูลที่แม่นยำเพื่อนำไปทำการตลาดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เรียกได้ว่า เราปูพื้นฐานธุรกิจของเราให้ดี จากนั้นเมื่อเราสโคปกลุ่มลูกค้าของเราได้แล้ว เราก็มาลุยกันเลย

ช่วงที่ 2 กำหนดกลยุทธ์ในการทำการตลาด

ตอนนี้เรารู้แล้วว่าลูกค้าของเราเป็นใคร เราก็มากำหนดกลยุทธ์ในการทำการตลาดของเราด้วยต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อใช้จ่ายงบประมาณของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ งบประมาณตรงนี้จะแตกต่างกันไปกับแต่ละธุรกิจ หรือการบริการ เพราะแต่ละธุรกิจก็มีการแข่งขันและต้นทุนการตลาดที่ไม่เหมือนกันนะครับ

ช่วงที่ 3 ติดตามผลในการทำการตลาด และปรับประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อเรามีข้อมูลมากเพียงพอตอนนี้เราสามารถกำหนดขอบเขตของลูกค้าให้แคบลงได้ นั่นหมายถึงเราสามารถเข้าถึงตอนนี้เรารู้แล้วว่าใครคือลูกค้าที่ที่แท้จริงของเรา เราควรกำหนดงบประมาณสำหรับลูกค้าใหม่สร้างการรับรู้ และลูกค้าที่มีความสนใจอย่างซื้อแล้วจริงๆในอัตราส่วนเท่าไหร่ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับจำนวนเงินที่เราจ่ายไปมากที่สุด

ช่วงที่ 4 การขยายผลในการทำการตลาด

ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่มีข้อมูลที่มากพอ และมากไปกว่านั้น เราเชื่อว่าจากลูกค้าที่เราหามาให้ ตอนนี้สามารถทำให้เรามีงบประมาณมากขึ้นในการสเกลธุรกิจให้โตมากขึ้น รวมถึงเปิดผลิตภัณฑ์อื่นๆที่สามารถทำการตลาดได้ เพื่อให้เราสามารถสร้างยอดขายจากผลิตภัณฑ์อื่นได้ด้วย และเราสามารถสร้างการรับรู้ของแบรนด์ของเรา หรือผลิตภัณฑ์ของเราได้มากขึ้นอีกด้วย

ช่วงที่ 5 ทำแบรนด์ให้ติดตลาด

ตอนนี้เป้าหมายของเราคือเป็นการปั้นแบรนด์ของเราให้คนรู้จักมากขึ้น สร้างการรับรู้ ถามว่าทำไมเราถึงมาทำช่วงนี้เลยก็เพราะว่า การสร้างแบรนด์นั้นเป็นอะไรที่เรียนกว่าใช้งบประมาณสูงเช่นกัน แต่ผลลัพท์ที่ได้หลังจากติดตลาดแล้วนั้นก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ถ้าแบรนด์เราติดได้แล้วต้นทุนค่าการตลาดเราก็จะมีจำนวนที่ถูกลงอย่างแน่นอน

ช่วงที่ 6 ติดตามการทำงานและเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง

มาถึงตรงนี้เราก็น่าจะเห็นภาพว่า Google นั้นเป็นเครื่องมือที่เน้นข้อมูลเป็นอย่างมาก และมั่นใจพอสมควรว่าสิ่งที่เราวางแผนสำหรับธุรกิจหรือบริการของคุณก็ถือว่ามีความแม่นยำ และสร้างรายได้ให้กับผู้เข้ารับการบริการของเราพอสมควร ขั้นตอนของเราก็คืออัพเดทสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไป หรือถ้าทางธุรกิจอยากเพิ่มผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ เราก็จะเริ่มต้นทำใหม่กับผลิตภัณฑ์ใหม่ตั้งแต่แรก เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้ต่อไป

TopRocketing

ปรึกษารายละเอียดการทำการตลาดออนไลน์ ติดต่อเราได้เลย

TopRocketing

Messenger

@toprocketing

0992170880

คำถามที่พบบ่อย

อยากเริ่มต้นทำโฆษณา Google Ads ต้องทำอย่างไร

เพียงแค่เราเปิดบัญชีและเริ่มเซทแคมเปญเราก็สามารถเริ่มทำโฆษณา Google Ads ด้วยตนเองได้ทันที แต่ถามว่าทำไมถึงต้องทำกับเรา ตรงนี้เรามั่นใจเต็ม 100% ว่าทำกับเรารวมค่าจ้างเราแล้วก็ยังถูกกว่างบประมาณที่คุณลูกค้าจะทำเองแน่นอน เพราะเรามีความชำนาญในการทำ และรู้จักเครื่องมือทุกตัว รวมถึงมีการวางแผนกลยุทธ์ในการทำการตลาด เมื่อจ้างเราเลยจะทำให้ธุรกิจของท่านเติบโตได้ไว และคุ้มค่ากว่าการที่ลองศึกษาและลองทำเองแน่นอน

ไม่มีเว็บไซต์ สามารถทำการตลาดบน Google ได้ไหม

ในโลกออนไลน์นั้น เว็บไซต์จะเปรียบเสมือนบ้านใหญ่ ส่วนช่องทางอื่นๆคือส่วนต่อเติม เพราะฉะนั้นการทำ Google Ads ให้ประสบความสำเร็จ Website นั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ จำเป็นต้องมี

งบประมาณในการทำ Google Ads ใช้เยอะไหม

เราสามารถกำหนดงบประมาณในการทำการตลาด้วยตัวเราเองได้ โดยระยะเริ่มต้นเราอาจลองก่อนน้อยๆก็ได้เช่นกัน และพอเราเริ่มขายได้แล้วเราอยากขยายก็ค่อยอัดขยายเพิ่มไป

ธุรกิจไหนสามารถทำได้บ้าง

Google Ads สามารถทำได้ทุกธุรกิจ เพราะมีตัวเลือกที่หลากหลายในการทำโฆษณา ทั้งรูปแบบการค้นหา หรือ Search, Display, YouTube, Application และ Shopping เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทุกธุรกิจเลยนั่นเอง

Google Ads แพงไหม

จากประสบการณ์ของเราในทุก Platform นั้น Google Ads ถือว่าเป็น Platform ที่มีค่าโฆษณาที่ถูกที่สุด และประสิทธิภาพดีที่สุด เพราะเราสามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการของเราได้จริงๆ Google จะไม่แสดงโฆษณาของเราไปยังคนที่ไม่เกี่ยวข้อง จึงทำให้เราสามารถใช้งบประมาณของเราได้อย่างคุ้มค่ามากๆ

โฆษณาจะติดอันดับ 1 ไหม

เราสามารถทำโฆษณาของคุณให้ติดอันดับ 1 ได้ แต่ตำแหน่งการติดไม่ใช่เป้าหมายหลักของเรา เพราะตำแหน่งอันดับ 1 ไม่ได้หมายความว่าเราจะขายของได้เสมอไป เพราะผู้ซื้อต้องทำการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ก่อนอยู่แล้ว เป้าหมายเราคือเราจะทำให้แอดแสดงต่อผู้มีความสนใจที่อยากจะซื้อแล้วจริงๆ เพื่อให้งบประมาณที่ลูกค้าใช้จ่ายเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด เพราะอันดับกินไม่ได้ แต่ยอดขายเรากินได้นั่นเอง

ธุรกิจไหนที่เหมาะที่จะทำใน Google Ads

Google นั้นเป็น Platform ที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ไว้ในหน้าจอของเรา ช่วยให้เราค้นหาทุกๆสิ่งที่เราต้องการได้อย่างง่ายดายภายในเวลาไม่ถึงวินาที นั้นหมายความว่าทุกธุรกิจสามารถทำบน Google Ads ได้ ตามประเภทของโฆษณาที่หลากหลายของ Google แต่ก่อนที่เราจะใช้ประเภทแอดให้เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ เราก็ต้องมาทำความรู้จักกับประเภทของ Google Ads กันก่อน ซึ่งมีทั้งหมด 5 ประเภทด้วยกัน

ประเภทที่ 1: Search Ads

โฆษณาประเภทนี้เหมาะสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นโฆษณา ถือว่าเป็นโฆษณาพื้นฐานของ Google เลย โดยโฆษณาประเภทนี้จะแสดงอยู่ด้านบนสุดเวลาที่เราต้องการค้นหาสิ่งที่เราต้องการ ตัวอย่างธุรกิจที่ทำใน Search ได้เช่น ธุรกิจการบริการ, รับเหมา, อสังหา, ขายของ, อาหารเสริม และอื่นๆเท่าที่เรานึกออกเลย

ประเภทที่ 2: Display Ads

โฆษณาประเภทนี้เป็นโฆษณาที่ไปโชว์ตามเว็บไซต์ต่างๆที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google ช่วยให้เราไม่ต้องไปติดต่อที่เว็บนั้นโดยตรงเอง ซึ่งบางที่ถ้าเราไปติดต่อเองการติดโฆษณาแบนเนอร์แบบนี้ก็อาจมีค่าใช้จ่ายหลักหลายพันจนถึงหลักแสนเลย แต่ถ้าเราทำกับ Google เราจ่ายตามจำนวนคนที่เข้าดูอาจจะแค่หลักสตางค์หรือหลักบาทเท่านั้นเอง โดยโฆษณาประเภทนี้เหมาะที่จะสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ควรใช้รูปภาพที่สวยงาม น่าสนใจ และมีความน่าเชื่อถือ

ประเภทที่ 3: YouTube Ads

โฆษณาประเภทนี้โดยทั่วไปจะเน้นเป็นวีดีโอ เน้นสร้างการรับรู้ของแบรนด์ แต่จากประสบการณ์ของเรา ทุกวันนี้หลายคนชอบสื่อที่เป็นวีดีโอมากๆ เพราะวีดีโอดีๆสามารถอธิบายสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วน่าสนใจภายในเวลาแค่ 10-15 วินาที ซึ่งเหตุผลนี้เองถ้าเราทำตรงนี้เป็นเราสามารถหาลูกค้าจากตรงนี้ได้เลยดีมากๆ ซึ่งโฆษณาประเภทนี้เหมาะกับธุรกิจทุกประเภทเช่นกัน รวมถึง YouTuber ที่ต้องการสร้างตัวตนด้วยเช่นกัน

ประเภทที่ 4: Shopping Ads

โฆษณาประเภทนี้เหมาะกับธุรกิจที่เป็น E-commerce เป็นอย่างยิ่ง โดยโฆษณาประเภทนี้จะสามารถทำให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของเราได้แบบทันที ไม่ต้องไปเข้าหน้าเว็บหลายที่เลย แต่ก่อนที่เราจำทำโฆษณาแบบนี้ได้ เราก็ต้องลงชื่อสมัคร Google Merchant Center ให้เรียบร้อยก่อน และเว็บไซต์ของเราก็ต้องมีระบบตะกร้าสินค้าเพื่อให้ผู้ซื้อสามารถทำการซื้อบนหน้าเว็บเราได้ด้วย

 

ประเภทที่ 5: App Ads

โฆษณาประเภทนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการโฆษณาเกี่ยวกับ Application เพื่อต้องการให้คนเข้ามาใช้ใช้งาน Application ของเรา หรือเพิ่มจำนวนการดาวน์โหลดเยอะๆ ซึ่งในปัจจุบันสำหรับธุรกิจทั่วไปก็อาจไม่ได้ใช้งาน Application มากนัก แต่ก็มีเฉพาะกลุ่มที่ต้องการให้คนมาใช้ Application ของเราที่เราจัดทำนั่นเอง